วันศุกร์ที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2565
วันอังคารที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2565
พบ "สารตั้งต้นชีวิต" ในมหาสมุทรบนดวงจันทร์เอนเซลาดัสของดาวเสาร์
พบ "สารตั้งต้นชีวิต" ในมหาสมุทรบนดวงจันทร์เอนเซลาดัสของดาวเสาร์
องค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติสหรัฐฯหรือนาซา เผยผลวิเคราะห์ล่าสุดจากข้อมูลที่ยานแคสสินีส่งมาก่อนจบสิ้นภารกิจเมื่อ 2 ปีก่อนว่า ไอน้ำร้อนที่พวยพุ่งขึ้นมาจากมหาสมุทรที่ขั้วใต้ของดวงจันทร์เอนเซลาดัส (Enceladus) ซึ่งเป็นดวงจันทร์บริวารของดาวเสาร์นั้น มีสารอินทรีย์ชนิดละลายน้ำได้ปะปนอยู่ โดยคุณสมบัติเช่นนี้เพิ่มโอกาสที่สารดังกล่าวจะก่อกำเนิดสิ่งมีชีวิตให้มีความเป็นไปได้สูงขึ้น
มีการตีพิมพ์รายละเอียดการค้นพบข้างต้น ในวารสารรายเดือนของราชสมาคมดาราศาสตร์แห่งกรุงลอนดอน (Monthly Notices of the Royal Astronomical Society) โดยระบุว่าพบสารอินทรีย์ใหม่ ๆ หลายชนิดที่มีทั้งไนโตรเจนและออกซิเจนเป็นองค์ประกอบ ในไอน้ำร้อนที่พวยพุ่งขึ้นมาจากมหาสมุทรใต้พื้นผิวน้ำแข็งของเอนเซลาดัส
ทีมนักชีวดาราศาสตร์ของนาซาชี้ว่า สารอินทรีย์เหล่านี้มีบทบาทสำคัญในการผลิตกรดอะมิโน ซึ่งเป็นโมเลกุลพื้นฐานที่นำไปสู่การสร้างโปรตีน อันเป็น "สารตั้งต้น" ที่ให้กำเนิดสรรพชีวิตบนโลก
ก่อนหน้านี้เคยมีการค้นพบสารอินทรีย์ในไอน้ำร้อนจากเอนเซลาดัสมาแล้ว โดยคาดว่าเป็นสารที่ลอยอยู่บนผิวหน้าของมหาสมุทร เนื่องจากไม่ละลายในน้ำ
แต่ในการค้นพบครั้งนี้ สารอินทรีย์ชนิดใหม่ที่พบล่าสุดมีคุณสมบัติละลายน้ำได้ ทำให้นักวิทยาศาสตร์มีความหวังว่าสารดังกล่าวจะสามารถลงไปทำปฏิกิริยากับแร่ธาตุที่ปล่องน้ำร้อนก้นมหาสมุทร จนเกิดการสังเคราะห์กรดอะมิโนขึ้นได้ในที่สุด
ทั้งนี้ มหาสมุทรใต้พื้นผิวน้ำแข็งของเอนเซลาดัส ซึ่งมีความกว้างใหญ่ครอบคลุมทั้งดาวและลึกหลายกิโลเมตรนั้น ได้รับความร้อนจากแกนกลางของดาว โดยแรงดึงดูดมหาศาลจากดาวเสาร์บีบให้แกนกลางของเอนเซลาดัสเกิดความร้อนขึ้น
รอยแตกที่ก้นมหาสมุทรของเอนเซลาดัส ปล่อยให้หินหนืดหรือแมกมาไหลออกมาสัมผัสกับน้ำ จนบริเวณดังกล่าวอาจมีอุณหภูมิสูงได้ถึง 370 องศาเซลเซียส และเกิดปฏิกิริยาที่ทำให้ปล่องน้ำร้อนก้นมหาสมุทรปลดปล่อยไฮโดรเจนออกมา
กระบวนการนี้สามารถให้กำเนิดสิ่งมีชีวิต และเกื้อหนุนให้จุลชีพบางชนิดดำรงชีวิตอยู่ได้โดยไม่ต้องอาศัยแสงอาทิตย์ เช่นเดียวกับจุลชีพผลิตมีเทนซึ่งอาศัยอยู่ที่ก้นมหาสมุทรบนโลก
VZ-9 Avrocar อากาศยานยูเอฟโอ
VZ-9 Avrocar อากาศยานยูเอฟโอ
Avro Canada VZ-9 Avrocar อากาศยานยูเอฟโอ โครงการลับพัฒนาโดยกองทัพสหรัฐกับกองทัพเเคนาดา ดำเนินการพัฒนาในช่วงสงครามเย็น จำนวนที่สร้างขึ้น 2 ลำ นั่งได้ 2 คนต่อลำ ผลิตขึ้นในช่วงปี ค.ศ 1958-1959 ค่าใช้จ่ายโครงการ 10 ล้านเหรียญ (USD)
ค.ศ. 1953 สำนักข่าวกรองกลาง (Central Intelligence Agency) ได้รู้ว่าบริษัทด้านการบินอาโว (Avro Canada) ประเทศเเคนาดา กำลังทำงานอย่างลับๆ ในโครงการสร้างจานบิน ถูกออกเเบบโดยจอห์น ฟรอสต์ (John Frost) วิศวกรชาวอังกฤษ ซึ่งทำงานในโครงการลับ Y ต่อมา ได้มาเข้าร่วมทำงานกับกองทัพอากาศสหรัฐในโครงการลับ Y-2 flat-riser, WS-606A 1794, Silver Bug
จอห์น คาร์เวอร์ มีโดวส์ ฟรอสต์ (John Carver Meadows Frost) มีความสนใจจานบินของนาซีเยอรมัน เขามีความสนใจเป็นพิเศษในการออกแบบเครื่องยนต์เจ็ท และวิธีการปรับปรุงประสิทธิภาพของคอมเพรสเซอร์ เขาได้ออกแบบเครื่องบินทรงกลม เเละรูปแบบเครื่องยนต์กังหันอยู่นอกขอบด้านนอกของคอมเพรสเซอร์แบบแรงเหวี่ยง กำลังของคอมเพรสเซอร์ถูกดึงมาจากกังหันชนิดใหม่ที่คล้ายกับพัดลมแบบแรงเหวี่ยง การออกแบบคล้ายคลึงกับเครื่องยนต์ทั่วไป กังหันขับคอมเพรสเซอร์ใช้เกียร์มากกว่าเพลา เครื่องมือที่ได้รับจัดขึ้นในรูปแบบของดิสก์ขนาดใหญ่ซึ่งเขาเรียกว่า เครื่องแพนเค้ก เมื่อปี ค.ศ. 1961 โครงการถูกยุบลง เนื่องจากไม่สามารถบินได้จริง
นักวิจัยยูเอฟโอเสนอว่า โครงการของจอห์นฟรอสต์เป็นฉากบังหน้า เครื่องบินอาจจะใช้งานได้จริงในภายหลัง โครงการลับมีมากมาย นำไปสู่การพัฒนายูเอฟโอของจริง กองทัพสหรัฐเเอบพัฒนาจานบินมาโดยตลอด เเละจานบินสามารถบินออกนอกโลกได้ในที่สุด เเต่ปกปิดเป็นความลับต่อสาธารณชน
อิฐ เฟลิกซ์ ยูเอฟโอเเห่งสหภาพโซเวียต
อิฐ เฟลิกซ์ ยูเอฟโอเเห่งสหภาพโซเวียต
อิฐ เฟลิกซ์ (Felix Ziegel) (ค.ศ. 1920-1988) นักวิทยาศาสตร์เเห่งมหาวิทยาลัยมอสโคว์ นักเขียน หนังสือ 43 เล่ม เกี่ยวกับดาราศาสตร์ ผูกลุ่มศึกษายูเอฟโอเเห่งสหภาพโซเวียต
เดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1967 ได้ก่อตั้งกลุ่มศึกษายูเอฟโอเเห่งสหภาพโซเวียต จัดประชุมที่ศูนย์การบินและอวกาศกรุงมอสโกร่วมกับพลตรี เปโตร เอ. สโตลยอฟ (Pyotr A. Stolyarov) ซึ่งดำรงตำแหน่งเป็นนายอำเภอ
เดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1967 ได้ทำรายการโทรทัศน์ เพื่อรายงานการพบเห็นยูเอฟโอที่ปราฏตัวในสหภาพโซเวียต
เดือนตุลาคม ค.ศ. 1967 คณะกรรมการ Cosmonautics DOSAAF เขียนคำพูดของเขาลงในนิตยสาร Smena เฟลิกซ์ กล่าวว่า "ยูเอฟโอได้รับการเห็นโดยประชาชนสหภาพโซเวียต มีรูปทรงขนาดเล็ก, ขนาดใหญ่, แบน, ทรงกลม พวกเขาสามารถเคลื่อนที่ในบรรยากาศเร็วกว่า 100,000 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ยูเอฟโอย้ายที่ไปมาโดยไม่ต้องกังวน โดยมีพลังงานบางอย่างรอบตัวยาน มีการดูดสุญญากาศที่ช่วยปกป้องพวกเขาจากการเผาไหม้ในสตราโตสเฟียร์ของยาน ยานมีความสามารถลึกลับที่จะหายตัวไปและกลับมาปรากฏตัวอีกครั้ง นอกจากนี้ยังสามารถส่งผลกระทบต่อแหล่งพลังงานของเราทำให้ โรงงานผลิตไฟฟ้า สถานีวิทยุ และเครื่องยนต์ของเราหยุดทำงานโดยไม่ให้เกิดความเสียหายอย่างถาวร ผมอยากรู้พวกเขามาที่โลกนี้ทำไม" บทความนี้ สหภาพโซเวียตรยกย่องในฐานะเป็นหลักฐานที่โซเวียตได้ตระหนักถึงปรากฏการณ์ยูเอฟโอ
เฟลิกซ์ได้เขียนหนังสื่อชื่อ Naselyonny Kosmos (Inhabited Cosmos) ซึ่งนำเสนอข้อมูลที่รวบรวมโดยทีมงานของนักวิทยาศาสตร์โซเวียตที่รู้จักกันดี รวมถึงรายงานมากมายจากนักบินโซเวียตที่พบเห็นสิ่งเเปลกๆ บนท้องฟ้า งานวิจัยที่มีความทะเยอทะยานเรื่องคำถามที่ว่า มีหน่วยสืบราชการลับจากนอกโลกมาเยือนโลกเรา ได้รับการเผยแพร่จากสำนักพิมพ์ Nauka ของสหภาพโซเวียตในปี ค.ศ. 1968 โดยมีกลุ่มนักวิทยาศาสตร์ให้การสนับสนุนจำนวนมาก รายชื่อผู้สนับสนุนหลักๆ บอรีส คอนสแตนติโนฟ (Boris Konstantinov) รองประธานาธีบดีสหภาพโซเวียต, วิทาลี กินส์เบิร์ก (Vitaly Ginzburg) บิดาเเห่งระเบิดไฮโดเจน, วาซีลี ซี. แพริซ (Vasily V. Parin) ผู้ก่อตั้งเลขาธิการคนแรกของสหภาพโซเวียต
เดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1968 เฟลิกซ์ได้รายงานในการพบยูเอฟโอที่ฐานทดสอบนิวเคลียร์ อภิปรายระดับสูงจัดขึ้นที่กรุงมอสโกกับนักวิชาการ Leontovich Mustel และ Petrov หลายวันต่อมา เฟลิกซ์ได้รับจดหมายจากนักฟิสิกส์ด้านนิวเคลียร์ เอ็ดเวิร์ด คอนดอน (Edward Condon) ผู้อำนวยการสำนักมาตรฐานแห่งชาติสหรัฐอเมริกา (National Bureau of Standards) โดยในเอกสารระบุว่า กลุ่มโซเวียตและอเมริกันควรร่วมมือกัน ควรเริ่มแลกเปลี่ยนข้อมูลกัน ด.ร เฟลิกซ์ และอีก 12 คน ในกลุ่มลงนามในหนังสือขอให้รัฐบาลโซเวียตสร้างองค์กรที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐ ซึ่งควรประสานงานวิจัยยูเอฟโอทั้งหมดในประเทศร่วมกับประเทศสหรัฐอเมริกา
NASA เตรียมเปิดดูตัวอย่างหินดวงจันทร์ที่ถูกปิดผนึกไว้มานานนับ 50 ปี
NASA เตรียมเปิดดูตัวอย่างหินดวงจันทร์ที่ถูกปิดผนึกไว้มานานนับ 50 ปี
เมื่อปี 1969 กับประวัติศาสตร์การได้ไปเหยียบดวงจันทร์ครั้งแรกของมวลมนุษยชาติภายใต้ภารกิจที่ชื่อว่า Apollo 11 นั้นได้สร้างความฮือฮาให้กับมนุษย์บนโลกเป็นอย่างมาก และทำให้ผู้คนทั่วทุกมุมโลกเริ่มหันมาสนใจด้านอวกาศมากขึ้นกว่าเดิม
แน่นอนว่าการสำรวจดวงจันทร์ดาวบริวารเพียงหนึ่งเดียวของเราในครั้งนั้นและครั้งต่อ ๆ ไป นักบินอวกาศก็ได้รวบรวมหินบนดวงจันทร์กลับมายังโลก โดยเริ่มตั้งแต่ภารกิจ Apollo 11 จนถึงภารกิจ Apollo 17 ตัวอย่างหินที่เก็บมาได้รวมแล้วได้ประมาณ 842 ปอนด์ (382 กิโลกรัม) โดยไม่รวมภารกิจ Apollo 13 เข้าไปด้วยเพราะไม่ได้ลงจอด
Harrison H. Schmitt นักบินอวกาศภารกิจ Apollo 17 กำลังถือคราดที่มีไว้กวาดหาตัวอย่างหินดวงจันทร์ที่กำหนดขนาดเฉพาะของหินตั้งแต่ 0.5-1 นิ้ว ที่มา – Eugene A. Cernan, Apollo 17 Commander
ตัวอย่างหินดวงจันทร์ทั้งหมดที่รวบรวมมาได้ส่วนใหญ่นั้นได้เปิดขึ้นในภายหลังหลังจากกลับมาถึงโลก เพื่อให้นักวิทยาศาสตร์ได้นำไปวิจัยและศึกษาต่อไป แต่ถึงกระนั้น ในช่วงยุค 60 และ 70 เป็นยุคที่เทคโนโลยีในตอนนั้นไม่เหมือนกันกับในตอนนี้ เพราะยังไม่ก้าวไกลมากพอที่จะศึกษาข้อมูลเชิงลึกได้ การที่จะนำหินดวงจันทร์ไปวิเคราะห์เล่น ๆ แล้วได้ข้อมูลที่ไม่เพียงพอต่อความต้องการอาจจะทำให้เสียเวลาและเสียเที่ยวการบินไปเปล่า ๆ นาซาจึงตัดสินใจเลือกที่จะปิดผนึกกล่องเก็บตัวอย่างหินดวงจันทร์ไว้ 3 กล่อง โดยหินเหล่านั้นถูกเก็บไว้อย่างระมัดระวังจากโลกภายนอกและไม่ให้ใครแตะต้องเลยมานานนับเกือบ 50 ปี
ถ้านานแล้วมันคุ้ม ยังไงก็รอไหว
ก็ผ่านมานานแล้วพอสมควรสำหรับการรอ ปีนี้ซึ่งครบรอบ 50 ปีของภารกิจ Apollo 11 แน่นอนว่าเทคโนโลยีในสมัยนี้ได้พัฒนาขึ้นไปเยอะมาก ทั้งด้านการสื่อสารแบบข้ามทวีป การคมนาคมข้ามทะเล การเก็บรวบรวมข้อมูลที่มากมาย การวิเคราะห์ข้อมูลที่รวดเร็วแบบติดเทอร์โบ เทคโนโลยีขั้นสูงเหล่านี้ต่างกันลิบลับกับเมื่อ 50 ปีก่อนมาก นาซาที่รอโอกาสนี้มานานจึงขอตัดสินใจที่จะคัดเลือก 9 ทีมนักวิทยาศาสตร์จากที่ต่าง ๆ มาร่วมกันเปิดกล่องหินดวงจันทร์ที่ไม่เคยเปิดหรือแม้แต่ได้สัมผัสบรรยากาศบนพื้นโลกมาก่อน โดยนาซามีค่าตอบแทนให้ด้วยจำนวนทั้งหมด 8 ล้านเหรียญสหรัฐ
โดยหกในเก้าทีมจะได้เปิดดูหนึ่งในสามกล่องที่ยังไม่เคยปลดล็อคให้หลุดพ้นจากสภาพสุญญากาศมาก่อนตั้งแต่ที่กลับมาจากดวงจันทร์ ซึ่งในกล่องนั้นมีตัวอย่างหินดวงจันทร์ทั้งจากของภารกิจ Apollo 15, 16 และ 17 รวมอยู่ด้วย ซึ่งตัวอย่างหินดวงจันทร์จาก Apollo 17 ประมาณ 800 กรัมนั้นยังคงอยู่ใน “Drive Tube” ที่ทำหน้าที่ไว้ใช้เสียบลงบนพื้นผิวของดวงจันทร์ลงไปลึก ๆ ในคราวเดียวแล้วดึงออกมาเป็นแท่งแกนยาว การเก็บตัวอย่างในลักษณะแบบนี้ทำเพื่อที่จะสามารถคงการลำดับชั้นหินดวงจันทร์ได้ และเพื่อที่จะให้ชั้นหินนั้นคงสภาพเดิมให้มากที่สุดเพื่อให้นักวิทยาศาสตร์ในปัจจุบันสามารถศึกษาชั้นหินนั้นได้อย่างเหมือนเราไปตั้งแล็บเองบนดวงจันทร์ ปัจจุบันแท่งแกนนี้ถูกเก็บรักษาไว้เป็นอย่างดีที่ Johnson Space Center ของนาซาใน Houston, Texas ตั้งแต่เดือนธันวาคมปี 1972
ส่วนทีมอื่น ๆ นั้นจะได้ศึกษาตัวอย่างที่พิเศษยิ่งกว่าตัวอย่างอื่น เพราะมีตัวอย่างบางส่วนจาก Apollo 17 ที่ตั้งแต่มาถึงโลกแล้วนั้น ตัวอย่างหินก็ถูกเก็บไว้ในสภาพแช่แข็ง -20 องซาเซลเซียส และตัวอย่างบางส่วนจาก Apollo 15 ที่ถูกเก็บไว้ในฮีเลียมอยู่ตลอดตั้งแต่ปี 1971 จนถึงปัจจุบัน
แม้หินที่นาซาเก็บมาได้จะมีปริมาณน้อยมากและเก็บมาได้เพียงไม่กี่แห่งบนดวงจันทร์ แต่นาซาก็รู้ข้อมูลได้จาก Remote Sensing หรือการสำรวจข้อมูลระยะไกลได้ว่าดวงจันทร์นั้นมีธรณีวิทยาที่ซับซ้อน ทั้งประเภทของหินและชนิดของแร่ธาตุในหินมีลักษณะที่แตกต่างกันกับหินที่นาซาเก็บมาได้อย่างสิ้นเชิง ความลึกลับนี้จะถูกเปิดเผยไปพร้อมกันกับหินที่กำลังจะถูกเปิดหลังจากหลับใหลมานาน ด้วยเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยมากขึ้นและการวิเคราะห์ที่แม่นยำมากขึ้น เราจะรับรู้ไปพร้อม ๆ กันถึงสิ่งที่เราอาจจะยังไม่เคยรู้มาก่อนหน้านี้เลย
ข้อมูลรายชื่อและหน้าที่ที่ได้รับผิดชอบของทั้ง 9 ทีม
NASA Ames Research Center/Bay Area Environmental Research Institute : นำทีมโดย Alexander Sehlke ทีมนี้จะสานต่องานทดลองที่เคยเริ่มไว้เมื่อ 50 ปีก่อน โดยจะศึกษาตัวอย่างหินที่ถูกแช่แข็งไว้จากภารกิจ Apollo 17 เพื่อดูว่าสารที่มีคุณสมบัติระเหยง่ายอย่างเช่น น้ำ สามารถดำรงอยู่บนดวงจันทร์ได้ยังไงทั้ง ๆ ที่อยู่ในสภาพแวดล้อมที่ถูกรังสีจากดวงอาทิตย์แผ่ใส่มากกว่าไม่เหมือนกับน้ำบนโลกที่มีชั้นบรรยากาศค่อยกรองรังสีให้
NASA Ames : นำทีมโดย David Blake และ Richard Walrothwill ทีมนี้จะศึกษาตัวอย่างที่ปิดผนึกสุญญากาศเพื่อศึกษา “Space weathering” หรือการศึกษาถึงการผุกร่อนของหินในสภาพที่ไม่มีแดด ไม่มีฝน หรือเรียกง่าย ๆ ว่าไม่มีบรรยากาศเหมือนกันกับบนโลก เพื่อดูว่ามันจะส่งผลต่อพื้นผิวของดวงจันทร์อย่างไร
NASA’s Goddard Spaceflight Center : นำทีมโดย Jamie Elsila Cook จะศึกษาตัวอย่างที่ปิดผนึกสุญญากาศเพื่อทำความเข้าใจว่าสารประกอบอินทรีย์ขนาดเล็กอันเป็นสารตั้งต้นของกรดอะมิโนนั้นถูกเก็บรักษาไว้บนดวงจันทร์อย่างไร
NASA Goddard : นำทีมโดย Barbara Cohen และ Natalie Curran จะศึกษาตัวอย่างที่ปิดผนึกสุญญากาศเพื่อตรวจสอบประวัติทางธรณีวิทยาของบริเวณที่ยาน Apollo 17 ลงจอด พวกเขาจะตรวจหาเฉพาะกลุ่มก๊าซเฉี่อยในตัวอย่างหิน เพราะก๊าซเฉี่อยเหล่านี้สามารถบอกอายุของหินได้
Jamie Elsila ทำงานในห้องปฏิบัติการวิเคราะห์ทางชีววิทยาที่ศูนย์การบินอวกาศก็อดดาร์ดของนาซ่าในกรีนเบลต์รัฐแมริแลนด์ ที่มา – NASA/Goddard/Tim Childers
University of Arizona : นำทีมโดย Jessica Barnes จะศึกษาว่าการดูแลรักษาจะส่งผลยังไงต่อปริมาณแร่ hydrogen-bearing ในดินจากดวงจันทร์ซึ่งจะช่วยให้เราเข้าใจได้ดีขึ้นว่าน้ำถูกขังในแร่ธาตุบนดวงจันทร์ได้อย่างไร
University of California Berkeley : นำทีมโดย Kees Welten จะศึกษาว่าอุกกาบาตขนาดเล็กจิ๋ว (Micrometeorite) และอุกกาบาต (Meteorite) สามารถส่งผลกระทบต่อธรณีวิทยาของพื้นผิวดวงจันทร์ยังไง
U.S. Naval Research Laboratory : นำทีมโดย Katherine Burgess จะตรวจสอบตัวอย่างที่ถูกแช่แข็งและตัวอย่างที่เก็บไว้ในฮีเลียมเพื่อศึกษาว่าร่างกายได้รับผลกระทบอย่างไรจากการสัมผัสกับสภาพแวดล้อมในอวกาศ
University of New Mexico : นำทีมโดย Chip Shearer จะดูตัวอย่างที่ปิดผนึกสุญญากาศเพื่อศึกษาประวัติทางธรณีวิทยาของบริเวณที่ยาน Apollo 17 ลงจอด พวกเขาจะศึกษาตัวอย่างที่ได้มาจากอาณาบริเวณดวงจันทร์ที่เย็นมากพอที่จะทำให้น้ำแข็งตัวได้อย่างรวดเร็วหรือที่เรียกว่า “cold trap” นี่จึงเป็นครั้งแรกที่ตัวอย่างจากบริเวณที่มีการเกิด cold trap จะถูกนำว่าตรวจสอบในห้องปฏิบัติการอีกด้วย
Mount Holyoke College/Planetary Science Institute : นำทีมโดย Darby Dyar จะดูทั้งตัวอย่างที่ปิดผนึกสุญญากาศและตัวอย่างที่อยู่ในฮีเลียมเพื่อศึกษาพฤติกรรมของภูเขาไฟบนดวงจันทร์ พวกเขาจะเลือกศึกษาเฉพาะเจาะจงที่ลูกปัดแก้วเล็ก ๆ ที่ก่อตัวขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงการระเบิดของภูเขาไฟดวงจันทร์โบราณ
เม็ดลูกปัดแก้วสีส้มที่มีขนาดเล็กเหมือนเม็ดเกลือ พบได้บนดวงจันทร์
ทีมงานคุณภาพทั้งเก้าทีมนี้ได้รับการคัดเลือกอย่างดีถี่ถ้วนแล้วจากฝ่ายวิทยาศาสตร์ดาวเคราะห์ของนาซา โดยทั้งเก้าทีมจะทำงานภายใต้โครงการที่ชื่อว่า the Apollo Next Generation Sample Analysis (ANGSA) โดยได้รับการสนับสนุนอย่างเต็มที่จาก the Lunar Discovery and Exploration Program
ทั้งนี้ทั้งนั้น ตัวอย่างที่ถูกปิดกั้นจากโลกภายนอกมาแสนนานนั้นจะไม่ถูกเปิดขึ้นมาเลยทันที ขั้นแรกทีมงานทั้งเก้าทีมและเจ้าหน้าที่ที่ดูแลรักษาตัวอย่างหินที่ NASA Johnson Space Center จะร่วมกันคิดและกำหนดวิธีเปิดตัวอย่างที่ดีที่สุดเพื่อหลีกเลี่ยงการปนเปื้อนของตัวอย่าง
การศึกษาตัวอย่างหินดวงจันทร์เหล่านี้ยังช่วยเป็นใบเบิกทางให้กับตัวอย่างหินจากภารกิจอื่น ๆ อีกที่กำลังตามมาในอนาคตด้วย เช่น ยานสำรวจดาวเคราะห์น้อยของญี่ปุ่น Hayabusa 2 ที่ได้เดินทางไปเก็บรวบรวมตัวอย่างหินจากดาวเคราะห์น้อย Ryugu (อ่านข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่นี่) และยานสำรวจดาวเคราะห์น้อยของนาซา Osiris-Rex ที่เดินทางไปเก็บตัวอย่างหินจากดาวเคราะห์น้อย Bennu และในอนาคตอันใกล้นี้เราอาจจะได้ศึกษาตัวอย่างหินที่มาจากดาวอังคารอีกด้วย
ยานสำรวจดาวเคราะห์น้อย Ryugu ที่มา – Akihiro Ikeshita
โครงการนี้อาจไม่เกิดขึ้นเลยเพราะความเข้าใจผิดของนักวิทยาศาสตร์ ย้อนกลับไปเมื่อปี 2008 เป็นครั้งแรกที่นักวิทยาศาสตร์ค้นพบว่าดวงจันทร์นั้นไม่ได้แห้งตายเหมือนดาวร้าง แต่บนดวงจันทร์นั้นมีน้ำอยู่ด้วย เหตุนี้นาซาจึงคิดว่าการดำรงชีวิตบนดวงจันทร์อาจดูง่ายมากขึ้นเพราะน้ำบนดวงจันทร์อาจช่วยให้นักบินอวกาศดับกระหายได้ในยามจำเป็น นอกจากนี้พวกเขายังสามารถนำน้ำที่ได้มาทำการแยกโมเลกุลของมันออกเป็นออกซิเจนที่มีไว้หายใจได้ และแยกออกเป็นไฮโดรเจนที่พวกเขาก็สามารถนำไปเติมใส่ถังเชื้อเพลิงได้อีกด้วย แต่ถึงอย่างนั้นนักวิทยาศาสตร์ก็ยังไม่สามารถระบุได้ว่าบนดวงจันทร์มีน้ำอยู่มากน้อยแค่ไหน
สุดท้ายนี้ มนุษย์ทำทุกวิถีทางเพื่อที่จะไขความลับของจักรวาล แม้จะต้องแลกกับการรอคอยที่ยาวนานแต่ทุก ๆ อย่างที่ทำไปนั้นจะช่วยให้สิ่งมีชีวิตบนโลกสามารถดำรงร่วมกันไปกับเอกภพนี้ได้ แม้เส้นทางการดำรงอยู่บนโลกนี้มีที่สิ้นสุดแต่ความต้องการของมนุษย์ที่ไม่มีที่สิ้นสุดจะช่วยผลักดันให้เกิดเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าแบบที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เอาใจช่วยนักวิทยาศาสตร์ที่ทุ่มเทกับการไขความลับนี้ไปด้วยกัน
ไขปริศนาที่ตั้ง "มาชูปิกชู" พบจงใจสร้างบนรอยเลื่อนแผ่นเปลือกโลก
ไขปริศนาที่ตั้ง "มาชูปิกชู" พบจงใจสร้างบนรอยเลื่อนแผ่นเปลือกโลก
โบราณสถานอารยธรรมอินคา "มาชูปิกชู" (Machu Picchu) ของประเทศเปรูนั้น นอกจากจะเป็นมรดกโลกที่สวยงามดึงดูดให้นักท่องเที่ยวจากทั่วโลกไปเยือนปีละกว่า 1.5 ล้านคนแล้ว เสน่ห์ที่ชวนให้หลงใหลอีกอย่างหนึ่งคือปริศนาเรื่องความเป็นมาและสถานที่ตั้ง ซึ่งยังไม่มีใครรู้แน่ชัดว่ามาชูปิกชูถูกสร้างขึ้นเพื่ออะไร และเหตุใดจึงต้องซ่อนตัวอยู่บนหุบเขาสูงชันยากแก่การเข้าถึง
ล่าสุดมีผู้เสนอผลการศึกษาทางธรณีวิทยา ซึ่งชี้ถึงคำตอบที่เป็นไปได้ว่า ชาวอินคาเลือกบริเวณ "หุบเขาศักดิ์สิทธิ์" ที่มีแม่น้ำอูรูบัมบาโอบล้อมเป็นที่ตั้งสถานที่สำคัญ เพราะมีรอยเลื่อนของแผ่นเปลือกโลกและรอยแยกของพื้นหินตัดกันเป็นเครื่องหมายรูปกากบาท (X) เช่นเดียวกับเมืองโบราณแห่งสำคัญอื่น ๆ ในจักรวรรดิอินคา
ผลวิเคราะห์ภาพถ่ายดาวเทียมและการตรวจวัดทำแผนที่จากสถานที่จริงยืนยันว่า มาชูปิกชูถูกสร้างอยู่บนรอยเลื่อนและรอยแยกลักษณะดังกล่าว โดยรอยเลื่อนของแผ่นเปลือกโลกบางแนวที่พบมีความยาวถึง 175 กิโลเมตรเลยทีเดียว
ดร. รูอัลโด เมเนกัต นักธรณีวิทยาจากมหาวิทยาลัยแห่งริโอกรานเดโดซูลของบราซิล รายงานผลการศึกษาข้างต้นต่อที่ประชุมประจำปีของสมาคมธรณีวิทยาแห่งอเมริกา (GSA) เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยชี้ว่าชาวอินคาจงใจสร้างเมืองตามแนวรอยเลื่อนของแผ่นเปลือกโลกที่มีเทือกเขาสูงและมีแหล่งหินเก่าแก่ตามธรรมชาติอยู่แล้ว ซึ่งจะสามารถใช้ในการก่อสร้างได้อย่างสะดวกและเหลือเฟือ โดยไม่ต้องเจาะสกัดและเคลื่อนย้ายมาจากที่อื่น
การสร้างเมืองตามแนวของแหล่งหินธรรมชาติ ทำให้ชาวอินคาสร้างกำแพง ขั้นบันได และตัวอาคารได้ โดยไม่ต้องใช้วิธีก่ออิฐถือปูน แต่ใช้การตัดและเรียงหินแต่ละก้อนให้ทำมุมแนบสนิทกันพอดี ซึ่งการก่อสร้างที่ใช้วิธีประณีตเช่นนี้จะสำเร็จลงได้อย่างรวดเร็วและไม่เปลืองแรง ก็จะต้องทำในแหล่งหินที่ใช้เป็นวัสดุเท่านั้น
"การเลือกตำแหน่งที่ตั้งของมาชูปิกชูไม่ใช่เรื่องบังเอิญ เพราะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะสร้างเมืองหรือป้อมปราการบนยอดเขาสูงชันขนาดนั้น หากบนพื้นผิวไม่ได้มีรอยแตกอยู่ก่อนแล้ว" ดร. เมเนกัตกล่าว
"การวางแผนผังของกลุ่มอาคารและขั้นบันไดในมาชูปิกชู สอดคล้องกับแนวรอยเลื่อนของแผ่นเปลือกโลกและเครือข่ายของรอยแยกในพื้นหินอย่างชัดเจน ซึ่งรอยแตกเหล่านี้ยังทำหน้าที่เป็นทางระบายน้ำเมื่อเกิดฝนตกหนัก ช่วยป้องกันความเสียหายที่จะเกิดกับสิ่งก่อสร้างได้เป็นอย่างดีอีกด้วย"
มาชูปิกชูตั้งอยู่ในหุบเขาที่ความสูงเหนือระดับน้ำทะเล 2,430 เมตร เป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดิอินคาที่เคยรุ่งเรืองในภูมิภาคอเมริกากลางระหว่างศตวรรษที่ 13-16 นักโบราณคดีบางกลุ่มเชื่อว่ามาชูปิกชูถูกสร้างขึ้นเป็นที่มั่นแห่งท้าย ๆ เพื่อหลบหนีการรุกรานของนักล่าอาณานิคม บ้างก็เชื่อว่าอาจจะเป็นอารามของนักบวชหญิง, พระราชวังสำหรับจักรพรรดิเสด็จแปรพระราชฐาน, วิหารที่สร้างขึ้นเพื่อบูชาหุบเขาศักดิ์สิทธิ์ รวมทั้งอาจเป็นสถานที่จำลองตำนานกำเนิดโลกและจักรวาลตามคติความเชื่อของชาวอินคาได้อีกด้วย
นาซาพบหลุมดำมวลยิ่งยวด 3 แห่งจ่อชนประสานงาครั้งใหญ่
นาซาพบหลุมดำมวลยิ่งยวด 3 แห่งจ่อชนประสานงาครั้งใหญ่
ทีมนักดาราศาสตร์ขององค์การนาซา รายงานการค้นพบปรากฎการณ์ที่หาได้ยากในห้วงอวกาศลึกห่างจากโลก 1 พันล้านปีแสง โดยระบุว่ามีหลุมดำมวลยิ่งยวดถึง 3 แห่ง กำลังโคจรเข้าเฉียดใกล้กัน และอยู่ในเส้นทางที่จะชนประสานงากันอย่างรุนแรงในไม่ช้านี้
รายงานดังกล่าวตีพิมพ์เผยแพร่ในวารสาร The Astrophysical Journal โดยทีมนักดาราศาสตร์ของนาซาบอกว่า เทคนิคใหม่ที่ใช้ในการค้นหาคู่หลุมดำที่โคจรวนรอบกันและกัน ทำให้พวกเขาได้พบเข้ากับระบบของหลุมดำมวลยิ่งยวดทั้งสาม ซึ่งถือว่าเป็นปรากฎการณ์ทางดาราศาสตร์ที่หาพบได้ยากมาก
ระบบของหลุมดำที่กำลังจะชนและรวมตัวเข้าด้วยกันนี้ชื่อว่า SDSS J0849+1114 ถูกค้นพบและบันทึกภาพไว้ได้ด้วยการทำงานร่วมกันของกล้องโทรทรรศน์อวกาศและกล้องโทรทรรศน์บนพื้นโลกหลายตัว เช่นกล้องสำรวจท้องฟ้าดิจิทัลสโลน (SDSS) ในรัฐนิวเม็กซิโกของสหรัฐฯ, กล้องโทรทรรศน์ LBT ในรัฐแอริโซนา, กล้องโทรทรรศน์อวกาศรังสีอินฟราเรด WISE และกล้องโทรทรรศน์อวกาศรังสีเอกซ์จันทรา
เหตุที่ต้องใช้กล้องโทรทรรศน์หลายประเภท ก็เพื่อเก็บข้อมูลในช่วงความยาวคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่สายตามนุษย์ไม่อาจมองเห็นได้ โดยกล้องโทรทรรศน์อวกาศ WISE จะสามารถตรวจจับการเรืองแสงสว่างจ้าของรังสีอินฟราเรด ซึ่งเป็นสัญญาณบ่งบอกว่าหลุมดำกำลังดูดกลืนมวลสารปริมาณมากระหว่างที่กำลังจะมีการชนและรวมตัวกัน ส่วนกล้องโทรทรรศน์อวกาศจันทราสามารถจะมองหาบริเวณใจกลางกาแล็กซีที่สุกสว่างด้วยการแผ่รังสีเอกซ์ ซึ่งมักจะเป็นที่อยู่ของหลุมดำมวลยิ่งยวดได้
นอกจากนี้ การค้นหาระบบหลุมดำด้วยรังสีเอกซ์และรังสีอินฟราเรดยังมีข้อดี เนื่องจากรังสีดังกล่าวสามารถจะทะลุทะลวงผ่านกลุ่มก๊าซหนาทึบที่มักปิดบังระบบหลุมดำอยู่ จนช่วยให้สังเกตการณ์ได้สะดวกขึ้น
ดร. โศภิตา สัตยาปาล นักฟิสิกส์ดาราศาสตร์จากมหาวิทยาลัยจอร์จเมสัน หนึ่งในทีมวิจัยของนาซาบอกว่า "ระบบหลุมดำคู่และหลุมดำมวลยิ่งยวด 3 แห่งที่กำลังจะชนกันนั้นหาพบได้ยากมาก แต่ก็ถือว่าเป็นปรากฎการณ์ธรรมชาติอย่างหนึ่ง ซึ่งเป็นผลพวงจากการที่ดาราจักรรวมตัวเข้าด้วยกัน เราสันนิษฐานว่านี่เป็นวิธีการที่ดาราจักรต่าง ๆ ใช้เพื่อขยายตัวเติบโตขึ้นและมีวิวัฒนาการก้าวไปจากเดิม"ทีมผู้วิจัยยังพบว่า หลุมดำมวลยิ่งยวดทั้งสามที่กำลังจะชนและรวมตัวกัน มีพฤติกรรมต่างไปจากคู่หลุมดำที่อยู่ในภาวะเดียวกันอีกด้วย โดยหลุมดำแห่งที่สามจะมีอิทธิพลทำให้หลุมดำอีกสองแห่งรวมตัวกันได้เร็วขึ้น และจะเกิดคลื่นความโน้มถ่วงความถี่ต่ำแผ่ออกไปทุกทิศทางทั่วเอกภพ
วันพุธที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2565
10 วัตถุลึกลับโบราณ ที่ท้าทายทฤษฎีวิวัฒนาการของมนุษย์
10 วัตถุลึกลับโบราณ ที่ท้าทายทฤษฎีวิวัฒนาการของมนุษย์
OPARTS โอพาร์ทส หรือย่อมาจาก Out Of Place Artifacts นี้แปลตรงตัวแล้วหมายถึง "วัตถุเหนือยุค" หมายถึงวัตถุซึ่งไม่น่าจะมีปรากฏอยู่ในยุคนั้นๆซึ่งถูกสร้างขึ้น ที่มีชื่อเสียงได้แก่ เครื่องบินเจ็ตทองคำ(โคลัมเบีย) กะโหลกคริสตัล(แอสเทคและที่อื่นๆ) รูปวาดนักบิน(มายา) รูปเฮลิคอปเตอร์+รถถัง+เครื่องบินรบ(อียิปต์) ฯลฯ กล่าวกันว่าการค้นพบสิ่งเหล่านี้เป็นหลักฐานว่า ในสมัยโบราณ มนุษย์มีวัฒนธรรมซึ่งล้ำหน้ากว่าที่เราคาดคิดไว้มากนัก ถือเป็นการค้นพบที่พลิกประวัติศาสตร์โลกทีเดียว
ในช่วงหลายร้อยปีมานี้ มีการพบวัตถุลึกลับต่างๆ มากมายทั่วโลก(ไม่ยักมีไทย) ซึ่งวัตถุแต่ละอย่างไม่สอดคล้องกับทฤษฏีความเป็นไปของโลก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอารยธรรม, ความฉลาดของสมอง, ความคิดของมนุษย์ ฯลฯ และนี้คือ 10 วัตถุโบราณที่กำลังท้าทางคำตอบ ว่ามันคืออะไรกันแน่ และมันมีไว้เพื่ออะไร
อันดับ 10 Klerksdorp sphere
หรือ The Grooved Spheres เป็นโลหะลึกลับที่มีการค้นพบกว่า 3 ทศวรรษที่ผ่านมา
โดยคนงานเหมืองใน Ottosdal เมืองเล็กๆ ในประเทศแอฟริกาใต้ได้ขุดค้นพบวัตถุโลหะทรงกลมลึกลับจำนวนหนึ่ง ขึ้นมาในชั้นหินแร่ไพโรฟิลไลท์ โดยไม่ทราบที่มาและแหล่งกำเนิดได้ว่าแท้จริงแล้วมันคืออะไรกันแน่
มันเป็นวัตถุโลหะทรงกลมลึกลับนี้วัดขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางรอบวงได้ประมาณ 1 นิ้วกว่าๆ (0.5-10 ซม.) และมี 2 แบบ คือโลหะสีน้ำเงินอ่อน มีสีขาวเป็นจุดๆ อีกแบบเป็นทรงกลวง ข้างในบรรจุข้าวสาลี
และจากการตรวจสอบหาอายุวัตถุลึกลับนี้จากชั้นของหินพบว่ามันมีอายุนานถึง 2,800 ล้านปี!!
(ในวีพีมีเดียอังกฤษบอกว่า 3,000 ล้านปี) ซึ่งมันเป็นยุคพรีแคมเบรียน(Precambrian)หรือบรมยุคกำเนิดโลก ดูจากยุคแล้วก็บอกได้แน่นอนว่าไม่มีวิทยาการที่สามารถใช้ไฟหลอมโลหะเป็นทรงกลมได้แน่ๆ แถมเป็นยุคที่ไม่มีมนุษย์อีก ทำให้จนบัดนี้ก็ยังไม่มีใครทราบคำตอบว่าใครเป็นทำโลหะทรงกลมเหล่านั้น?? และทำเพื่ออะไร?? ทำให้ตั้งข้อสมมุติฐานว่าเกิดจากธรรมชาติเท่านั้น.....
อันดับ 9 The Dropa Stones
ในปี 1938 นักโบราณคดีกลุ่มหนึ่งนำโดยดร.ชีปูเตย (Dr. Chi Pu)
ได้เข้าไปสำรวจเทือกเขาเป่ยอัน-คารา-ยูลา Baian-Kara-Ulaในเมืองจีน ได้ค้นพบสิ่งมหัศจรรย์ในถ้ำแห่งหนึ่งเข้า สิ่งมหัศจรรย์นี้เป็นวัตถุอารยธรรมโบราณฝังรูปร่างเหมือนแผ่นศิลาทรงกลมหลายร้อยแผ่นฝังอยู่ฝุ่นตามพื้นถ้ำ
ศิลาเหล่านี้วัดเส้นผ่าศูนย์กลางได้ประมาณ 9 นิ้ว แต่ละแผ่นมี รอยสลักเป็นวงกลมที่ศูนย์กลาง
แล้วแกะหมุนวนแบบลายก้นหอย ดูคล้ายแผ่นเสียง ทว่ามีอายุราว 10,000-12,000 ปี
เมื่อเพ่งพินิจให้ดีก็จะพบว่า ที่จริงแล้ว เส้นสายเหล่านั้นเป็น อักษรภาพตัวเล็กจิ๋วที่บอกเล่าเรื่องราวที่เหลือเชื่อว่า ครั้งหนึ่งเคยมียานอวกาศบินมาตก ที่เทือกเขาแห่งนั้น ยานอวกาศที่ว่ามีนักบินเป็นเผ่าชนที่เรียกตัวเองว่า โดรปา ซึ่งมีการพบซากของมนุษย์ที่อาจเป็นลูกหลานของชนกลุ่มนี้ในถ้ำด้วย
อันดับ 8 The Ica Stones
ในช่วงทศวรรษ 1930 บิดาของดร.ฮาเวียร์ คาบรีบรา นักมานุษยวิทยาวัฒนธรรม
ผู้ศึกษาเรื่องราวของชนพื้นเมืองในเปรู ได้พบหินหลายร้อยก้อนตามหลุมศพของชาวอินคาโบราณ ดร.คาบรีบราได้สานต่องานของพ่อ ด้วยการสะสมก้อนหิน ซึ่งเป็นหินภูเขาไฟเหล่านี้ได้มากถึงกว่า 1,100 ก้อน
ซึ่งประมาณว่ามีอายุราว 500-1,500 ปี และต่อมารู้จักกันในชื่อก้อนหินอิคา หินเหล่านี้มีรอยสลัก บางชิ้นเป็นเรื่องราวทางเการแพทย์ เช่นผ่าตัด ตัดหัวใจ และปลูกถ่ายสมอง
แต่ที่น่าทึ่งที่สุดก็คือ ภาพสลักรูปไดโนเสาร์ ทั้งบรอนโตซอ รัส ไทรเซอราท็อป สเตโกซอรัส และเทอโรซอร์ รูปของคนขี่ไดโนเสาร์ รูปกล้องโทรทัศน์ แล้วก็แผนที่โลกที่มองลงมาจากทางอากาศ ปัจจุบัน ยังไม่มีนักโบราณคดีคนใดอธิบายเรื่องนี้ได้
แม้นักวิชาการบอกว่า หินอิคาเป็นของที่กุขึ้นมาเอง แต่ก็ไม่เคยมีการ วิจัยเพื่อพิสูจน์ความจริงหรือหักล้างในเรื่องนี้ หินอิคาจึงเป็นก้อนหินที่น่าพิศวงต่อไป
อันดับ 7 Giant Stone Balls of Costa Rica
เมื่อทศวรรษ 1930 ขณะกำลังหักร้างถางพงในป่าทึบของ ประเทศคอสตาริกาเพื่อทำสวนกล้วย
พวกคนงานได้เจอลูกหินขนาดต่างๆ หลายสิบลูก หลายลูกมีรูปร่างกลมดิก ขนาดก็แตกต่างกันไป
มีตั้งแต่เท่า ลูกเทนนิสไปจนถึงลูกที่มีเส้นผ่าศูนย์กลาง 8 ฟุต หนักถึง 16 ตัน
เห็นได้ชัดว่าลูกหินพวกนี้ไม่ได้เกิดเองตามธรรมชาติ แต่เกิดจากน้ำมือของมนุษย์ ปัญหาก็คือไม่ได้พบร่อยรอยมนุษย์ที่อยู่ใกล้เคียงแม้แต่น้อย แม้แต่เศษเครื่องปั้นดินเผาก็พบสักชิ้น มันไม่น่าจะเป็นฝีมือมนุษย์ เพราะว่าลูกบอลยักษ์กลมดิกมาก
จากข้อสันนิษฐานพบว่าลูกบอลยักษ์เหล่านี้เกิดขึ้นก่อนมนุษย์จะเกิดเสียอีก คือเกิดในยุคแทร์เซียรีพีเรีนดซึ่งนานกว่า 40 ล้านปีมาแล้ว คนพวกไหนมาสร้างเอาไว้ ทำขึ้นมาด้วยจุดประ สงค์อันใด และที่สำคัญมีเครื่องไม้เครื่องมือหรือเทคโนโลยีอะไรจึงทำลูกหิน ได้กลมเกลี้ยงถึงปานนี้?
อันดับ 6 Oera Linda Book
"Oera Linda Book เป็นหนังสือของพวก รีสแลนด์(ฟรีสแลนด์เป็นจังหวัดที่ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของประเทศเนเธอร์แลนด์) เป็นหนังสือที่เขียนด้วยมือที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ เทพนิยาย และศาสนา ที่ปรากฏออกมาเมื่อศตวรรษที่ 19
หนังสือนี้ประกอบด้วยเรื่องความหายนะ, ชาตินิยมที่ผู้หญิงเป็นผู้นำครอบครัว,เทพนิยาย พบว่ามีการภาษาที่ใช้เขียนเล่มเป็นภาษาของชนชาติยุโรปและของชนชาติอื่นๆ รวมอยู่ด้วย
โดยเนื้อหาที่เขียนถูกรวบรวมและจัดเรียงโดย(เจ้า)แม่ผู้นำขนบธรรมเนียมท้องถิ่น ที่อุทิศตัวเป็นนักบวชหญิงของเฟรย่า ( Freya ) เทพีแห่งความรัก บุตรีแห่งมหาเทพ Wralda กับ Irtha มารดาแห่งปฐพี
ด้วยเหตุนี้ภาษาที่ใช้จึงเป็นภาษากรีกโบราณและภาษาฟีนิเชี่ยน ฉบับปัจจุบันถูกพบว่าเขียนในปี 1260 ส่วนฉบับที่เก่าแก่กว่าถูกพบว่าเขียนในช่วงระหว่าง2194 ปีก่อนคริสตศักราช ถึง ค.ศ.803 ซึ่งสมัยนั้นไม่มีทางที่เขียนภาษาแบบนี้ได้แน่ๆ แต่กระนั้นก็มีการโต้แย้งว่ามันอาจเขียนขึ้นก่อนหน้านั้นแล้วทำให้ดูเหมือนโบราณเท่านั้น
อันดับ 5 Impossible Fossils
อย่างที่เราเคยเรียนกันสมัยมัธยม ซากฟอสซิลที่ปรากฏอยู่ตาม ก้อนหินนั้น ต้องใช้เวลาก่อตัวนานนับล้านปี แต่ก็มีฟอสซิลจำนวนหนึ่งซึ่งดูจะ ขัดกับหลักธรณีวิทยาหรือประวัติศาสตร์ ชนิดผิดฝาผิดตัวอย่างสุดๆ เช่น ฟอสซิลรูปมือประทับของมนุษย์ที่พบในชั้นหินปูน ซึ่งประมาณว่ามีอายุ 110 ล้านปี เป็นต้น
แล้วยังมีสิ่งที่เชื่อว่าเป็นฟอสซิลนิ้วมือของมนุษย์ ที่พบในเขต อาร์กติกของแคนาดาอีก ชิ้นนี้มีอายุราว 100-110 ล้านปี ไม่แต่เท่านั้น ยังมีการพบรอยเท้ามนุษย์ ซึ่งมองเหมือนสวม รองเท้าแตะ ที่เมืองเดลตา มลรัฐยูทาห์ ในชั้นหินดินดาน อายุราว 300-600 ล้านปีด้วย
อันดับ 4 Out-of-Place Metal Objects
เมื่อ 65 ล้านปีก่อน ตามตำราบอกว่ามนุษย์ยังไม่เกิด และแน่นอนเรื่องช่างโลหะย่อมไม่มีแน่
แต่แล้วในฝรั่งเศสดันมีการค้นพบท่อโลหะ ทรงกึ่งรูปไข่ ที่ขุดพบในหินชอล์ก ยุคครีเตเชียส(Cretaceous) ซึ่งเป็นยุคสุดท้ายของยุคเมโสโซอิค หรือ "ยุคไดโนเสาร์" ก่อนทวีปต่างๆ ก็ได้แยกออกจากกันเช่นในปัจจุบันได้อย่างไรกัน?
นอกจากนี้ยังมีตัวอย่างกรณีทำนองนี้มีมากมาย เช่น...เมื่อปี 1885 มีการพบท่อ โลหะในก้อนถ่านหิน ซึ่งเห็นได้ว่าทำขึ้นด้วยฝีมือของมนุษย์ ...เมื่อปี 1912 คนงานของโรงไฟฟ้าแห่งหนึ่งก็เจอกาน้ำโลหะใน ถ่านหินก้อนใหญ่ จากยุคหิน(Mesozoic)
อันดับ 3 Ark Of The Covenant
หรือหีบพันธะสัญญานั้นเองครับ ที่จริงยังไม่มีใครเจอมันหรอก แต่เรื่องราวที่เกี่ยวกับมันนั้นช่างน่าพิศวงเหลือเกิน
ลักษณะของหีบพันธะสัญญาคร่าวๆ ตามตำนาน เล่าว่า เป็นหีบรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ทำด้วยไม้ชิดติม (Shittim) ยาว 2.5 คิวบิท กว้าง และสูงเท่ากัน คือ 1.5 คิวบิท (เทียบหน่วยคิวบิทของอียิปต์ ซึ่ง 1 คิวบิทเท่ากับ 525 ซ.ม. หีบก็จะยาว 1.3 เมตร กว้างและสูง 76 ซ.ม. )บุด้านนอกและด้านในด้วยแผ่นทองคำ โดยรอบหีบด้านบนยกเป็นขอบสูงขึ้นเล็กน้อย ที่มุมสี่ด้านมีห่วงทองคำสำหรับสอดไม้คาน เพื่อแบกหามเวลาเดินทาง และไม้คานทำจากไม้ชนิดเดียวกันหุ้มด้วยแผ่นทอง(มีคำสั่งห้ามถอดไม้คานออกด้วย) ส่วนฝาหีบ เรียกว่าMercy Seat หรือ “การุณอาสน์” มีขนาดรับกับตัวหีบ และบุแผ่นทองเช่นเดียวกัน ด้านบนมีเทวดาสององค์สยายปีก หันหน้าเข้าหากัน ปีกทั้งสองโอบคล้ายซุ้มโค้งเหนือหีบ
มีเรื่องเล่ากันว่า หีบพันธะสัญญาเป็นหีบที่สร้างขึ้นตามพระบัญชาของพระเจ้า(??) เพื่อเป็นที่บรรจุแผ่นหินจารึกบัญญัติ 10ประการของพระองค์ ที่ประทานแก่ โมเสส ในระหว่างที่เขาพาพวกฮีบรูเร่ร่อนอยู่กลางทะเลทราย อันกันดาร โดยชนชาวฮีบรูจะแบกหีบแห่งพันธสัญญาตลอดการเดินทางในพระคัมภีร์ไบเบิลเล่าถึงความศักดิ์สิทธิ์และอิทธิฤทธิ์ของหีบ ที่มีพลังมากมายมหาศาลถึงขั้นสามารถทำลายล้างผู้บังอาจเข้าไปแตะต้อง และถูกพระเพลิงเผาวอดตาย
แน่นอนหลายคนที่ได้รู้เรื่องราวหีบพันธะสัญญานี้ได้บอกว่ามันน่าเหลือเชื่อและหากเป็นเรื่องจริงละก็มันน่าจะเป็นวิทยาการอะไรสักอย่างที่ไม่มีในยุคนั้น ดังนั้นจึงมีข้อสันนิฐานตามมาว่า หีบพันธะสัญญาน่าจะ ขวดแก้วไลเดน (Leyden Jar) ซึ่ง ปีเตอร์ แวน มุสเซนโบรค ได้คิดค้นขึ้น เมื่อปี ค.ศ. 1745 (เป็น อุปกรณ์เก็บสะสมประจุไฟฟ้า แบบง่าย) ซึ่งอุปกรณ์ทั้งสองอย่างนี้เกี่ยวกับไฟฟ้าทั้งสิ้น สมัยก่อนนั้นมีการใช้ไฟฟ้าได้อย่างไรกัน?? และจนบัดนี้ก็ยังไม่มีใครพบหีบพันธะสัญญาที่แท้จริง ทำให้ไม่สามารถรู้ว่าหีบพันธะสัญญาคืออุปกรณ์อะไรกันแน่
อันดับ 2. The Coso Artifact
ขณะออกไปหาเก็บก้อนแร่และหินสวยงามบนเทือกเขาโอ ลัน คา ในมลรัฐแคลิฟอร์เนีย
ในช่วงฤดูหนาวของปี 1961 วอลเลซ เลน(Wallace Lane), เวอร์จิเนีย แม็กซี(Virginia Maxey)
และไมค์ ไมค์เซล(Mike Mikesell) ได้เจอหินที่เข้าใจว่าเป็นแก้วผลึก ก้อนหนึ่ง
ทั้งสามชอบใจมาก เพราะคิดว่าถ้าเอากลับไปขายที่ร้านอัญมณี ของตัวเอง คงได้ราคาพอควร
แต่เมื่อกะเทาะออกดู ไมค์เซลก็เจอวัตถุชิ้นหนึ่งอยู่ข้างใน มองเหมือนเครื่องเคลือบสีขาว
ตรงกลางมีแท่งโลหะแวววาว ผู้เชี่ยวชาญประมาณว่า ต้องใช้เวลาร่วม 500,000 ปี กว่าที่เจ้าก้อนผลึกนี้จะก่อตัวห่อหุ้มวัตถุนี้ไว้ภายในได้เช่นนี้ ทั้งๆ ที่วัตถุดังกล่าวมองเหมือนเป็นผลงานจากน้ำมือของมนุษย์ เมื่อตรวจสอบเจ้าแท่งโลหะดังกล่าวอย่างละเอียดด้วยการ เอกซเรย์ ก็พบว่ามันมีสปริงเล็กๆ ติดอยู่ที่ปลายข้างหนึ่ง บางคนที่ได้เห็น บอกว่ามันมองเหมือนหัวเทียนของเครื่องยนต์ แล้วหัวเทียนเข้าไปอยู่ในก้อนหินอายุ 5 แสนปีได้อย่างไร?
อันดับ 1 Piri Reis
ในปี ค.ศ. 1979 ในระหว่างที่มีการซ่อมแซมมหาราชวังคอนสแตนทิโนเปิล (Constantinople) ในอิสตันบูล ประเทศตรุกี ก็ได้มีการค้นพบภาพวาดแผนที่ที่ถูกวาดลงบนหนังกวาง ซึ่งถูกวาดขึ้นในช่วงปี ค.ศ. 1513 แผนที่ดังกล่าวมีการลงชื่อแสดงความเป็นเจ้าของโดยของนายทหารเรือชาวเติร์กชื่อ Piri Haji Memmed ทำให้มีการเรียกแผนที่นี้ว่า Piri Reis คาดว่ามันถูกทำขึ้นเมื่อ ปี ค.ศ. 1513
แผนที่ของ Piri Reis เป็นสิ่งที่ท้าทายนักประวัติศาสตร์อย่างมาก เนื่องด้วยแผนที่นี้มันแสดงภูมิศาสตร์สมบูร์แบบเกินกว่าแผนที่ธรรมดาทั่วไป อีกทั้งยังมีเส้นรุ้งเส้นแวงที่ชัดเจน
ซึ่งเป็นไปตามหลักวิชาการแผนที่สมัยใหม่ทุกประการ มันแสดงถึงพิ้นที่ของทวีปอาฟริกาใต้อย่างละเอียดละออเป็นพิเศษ รวมไปถึงทวีปอื่นๆอย่างคร่าวๆ ซึ่งนับว่าเหลือเชื่อที่สุด เพราะถูกทำขึ้นหลังจากโคลัมบัสคนเก่ง ค้นพบโลกใหม่ เพียง 21 ปีเท่านั้น เวลาสั้นๆแค่นี้ไม่น่า จะมีใครสำรวจจนทำแผนที่ที่แทบจะครอบคลุมโลกแบบนี้ออกมาได้ ยิ่งน่าทึ่งกว่านี้อีกคือมันมีทวีปแอนตาร์กติก้าด้วย ซึ่งสมัยนั้นยังไม่มีการค้นพบทวีปดังกล่าวนี้เลย ( แอนตาร์กติก้าค้นพบราวๆ ปี 1800) เขาสามารถแสดงชายฝั่งของทวีปที่อยู่ภายใต้น้ำแข็งหนาเป็นกิโลได้อย่างไรหากไม่ใช้กรรมวิธีสมัยใหม่ทางภูมิศาสตร์ที่เรียกกันว่าการสำรวจจากทางอากาศ
จนบัดนี้ก็ยังไม่มีใครอธิบายได้ว่าคนวาดแผน Piri Reis นี้มีวิธีการวาดอย่างไรถึงทำให้มีความสอดคล้องกับข้อมูลทางธรณีในยุคปัจจุบัน ทั้งๆที่มันถูกวาดขึ้นในปี 1513
วันจันทร์ที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2565
เผยภาพหลุดยานประหลาดจากเอกสารลับกลาโหมสหรัฐ ขณะบินเหนือแอตแลนติก
เผยภาพหลุดยานประหลาดจากเอกสารลับกลาโหมสหรัฐ ขณะบินเหนือแอตแลนติก
https://www.youtube.com/watch?v=xFP-ejbTgcA
วันอังคารที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2565
วันพฤหัสบดีที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2565
อพอลโลถอยกลับ พีระมิดตั้งตระหง่านอยู่บนดวงจันทร์ เผ่าพันธุ์ต่างดาวมีอยู่จริง
อพอลโลถอยกลับ พีระมิดตั้งตระหง่านอยู่บนดวงจันทร์ เผ่าพันธุ์ต่างดาวมีอยู่จริง
นักวิจัยยูเอฟโอได้ออกมาเปิดเผยว่า พบภาพพีระมิดตั้งตระหง่านอยู่บนดวงจันทร์ โดยเป็นภาพของทางนาซ่าที่ได้มาจากยานสำรวจดวงจันทร์ (Lunar Reconnaissance Orbiter) ซึ่งจับภาพดวงจันทร์ในนาทีที่ยานสำรวจดวงจันทร์กำลังเคลื่อนที่ผ่านจุดที่เรียกว่า หลุมยูโดซุส (Eudoxus Crater) ซึ่งเป็นบริเวณหลุมอุกกาบาตขนาดใหญ่ หากลองสังเกตตำแหน่งกลางหลุมอุกกาบาตให้ดี จะพบโครงสร้างพีระมิดตั้งตระหง่านอยู่กลางหลุมอุกกาบาต
นักวิจัยยูเอฟโออธิบายว่า ตนเองและเพื่อนๆ พบวัตถุประหลาดอีกมากมายจากภาพถ่ายของนาซ่า แต่สิ่งที่ทำให้ตนเองกับเพื่อนๆ ตื่นเต้นมากที่สุด คือ การค้นพบวัตถุประหลาดที่มีลักษณะคล้ายกับพีระมิดของอียิปต์ ตนเองและเพื่อนๆ ค่อนข้างมั่นใจว่า มีความเป็นไปได้ที่ดวงจันทร์จะมีมนุษย์ต่างดาวอาศัยอยู่ เพราะหากลองตั้งข้อสังเกตจะพบว่า นาซ่าไม่เคยกลับไปเหยียบดวงจันทร์อีกเลย แม้ว่าในปัจจุบันเทคโนโลยีทางอวกาศจะก้าวหน้ามากเเล้ว จนสามารถส่งหุ่นยนต์ไปสำรวจดาวอังคาร หรือกระทั่งวางเเผนส่งมนุษย์ไปดาวอังคาร น่าแปลกใจที่ดวงจันทร์อยู่ใกล้กับโลกมาก นาซ่ากลับไม่ให้ความสำคัญ อาจเป็นไปได้ที่การสำรวจของนาซ่า ทำให้นาซ่าทราบความจริงว่า บนดวงจันทร์มีมนุษย์ต่างดาวอาศัยอยู่ นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ว่า ทำไมนาซ่าจึงไม่กลับไปสำรวจดวงจันทร์ ยิ่งไปกว่านั้น หากพีระมิดตั้งตระหง่านอยู่บนดวงจันทร์จริง มันอาจไขความลับที่เป็นปริศนาการก่อสร้างพีระมิดของอียิปต์ได้ว่า แท้จริงแล้วพีระมิดนั้นก่อสร้างโดยฝีมือมนษย์ต่างดาวชาวดวงจันทร์ ไม่ใช่มนุษย์ชาวโลกสร้าง
นาซ่าได้เเสดงความคิดเห็นว่า "วัตถุประหลาดดังกล่าวไม่ใช่พีระมิด มันอาจเป็นหินที่มีลักษณะผิดปกติซึ่งพบเห็นได้ทั่วไปอยู่บนดวงจันทร์ โดยกลุ่มคนที่มองเห็นเป็นพีระมิดนั้น อาจเป็นเพราะจดจ่อกับสิ่งเหล่านี้มากเกินไป จนทำให้เกิดปรากฏการณ์ทางจิตที่เรียกว่าแพริโดเลีย (Pareidolia) ซึ่งเป็นอาการที่สมองสื่อสารกับสายตา ทำให้มองเห็นวัตถุหรืออะไรก็ตามมีลักษณะคล้ายคลึงกับสมองที่เราคาดหวังให้เป็น"
หินสลักรูปมนุษย์ต่างดาว
หินสลักรูปมนุษย์ต่างดาว
หินสลักรูปมนุษย์ต่างดาวหรือหินการเผชิญหน้าครั้งแรก ถูกค้นพบเมื่อเดือนมีนาคม 2017 เป็นหินที่ถูกค้นพบในถ้ำกลางป่าเเห่งหนึ่งในเมืองปวยบลา-เบรากรุซ (Puebla-Veracruz) ประเทศเม็กซิโก สิ่งที่น่าสนใจคือ หินสลักรูปมนุษย์ต่างดาว สนับสนุนทฤษฎีนักบินอวกาศโบราณ
กลุ่มนักล่าสมบัติเจเอซี ดิเทคเทอะ (JAC Detector) ได้ออกเดินทางสำรวจค้นหาถํ้านาน 3 เดือน จนกระทั่งค้นพบถ้ำแห่งหนึ่งตามคำบอกเล่าเกี่ยวกับตำนานมนุษย์ต่างดาวจากชาวบ้าน ภายในถ้ำพบร่องรอยแกะสลักบนผนังกำแพง และพื้น ล่องรอยแกะสลักเกี่ยวข้องกับมนุษย์ต่างดาว จากการศึกษาพบว่า มนุษย์ต่างดาวกำลังพูดคุยกับมนุษย์โลกอยู่ นอกจากนี้ นักสำรวจค้นพบทองคำจำนวนมากซ่อนอยู่ภายในถํ้าเเห่งนี้ด้วย
กลุ่มนักสำรวจเปิดเผยว่า ค้นพบเเผ่นหินที่มีร่องรอยแกะสลักเเสดงถึงมนุษย์ต่างดาวที่กำลังควบคุมยานอวกาศ เเละพบแผ่นหินกะสลักเป็นข้อความภาษาโบราณที่แปลว่ามนุษย์ต่างดาว เเละพบร่องรอยแกะสลักที่มีลักษณะเหมือนมนุษย์ต่างดาวกำลังมอบสิ่งของให้มนุษย์โลกที่อยู่ในช่วงอารยธรรมโลกยุคโบราณ ถูกคาดว่าเป็นอารยธรรมสเปน, มายัน, แอซเท็ก เป็นต้น เพราะเคยอยู่อาศัยในดินแดนเเถบนี้มาก่อน
การค้นพบหินสลักรูปมนุษย์ต่างดาวเป็นการพิสูจน์ทฤษฎีนักบินอวกาศโบราณ อย่างไรก็ตาม การค้นพบนี้จะไม่มีความหมายอะไรหากสถาบันมานุษยวิทยา และสถาบันประวัติศาสตร์แห่งชาติเม็กซิโกไม่เข้ามาตรวจสอบ เพราะทางการไม่ได้แสดงความสนใจในการค้นพบครั้งนี้เลย โดยกลุ่มนักสำรวจเปิดเผยว่า อาจเป็นเพราะการค้นพบครั้งนี้เป็นหลักฐานที่เกี่ยวข้องกับมนุษย์ต่างดาวที่ขัดต่อข้อมูลไม่เป็นที่ยอมรับจากทั่วโลก จึงไม่มีใครสามารถสรุปได้ว่า มันเป็นของจริงหรือเป็นเพียงก้อนหินที่ถูกแกะสลักขึ้นในภายหลัง
ทฤษฎีนักบินอวกาศโบราณเสนอว่า เห็นได้ชัดว่าหัวโตมีสามนิ้ว เป็นไปได้ที่มนุษย์ต่างดาวมาหาบรรพบุรุษเรา เเละปัจจุบันนี้ก็ยังคงมาเยี่ยมเยือนดูโลกของเราอยู่ มนุษย์ต่างดาวมาในฐานะพระเจ้า เเต่เราหลงลืมเมื่อเทคโนโลยีทันสมัยมากขึ้นชิลีเผย UFO บินเหนือน่านฟ้า
ชิลีเผย UFO บินเหนือน่านฟ้า
เมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน 2014 เฮลิคอปเตอร์ของกองทัพชิลีลำหนึ่ง (Airbus Cougar AS-532) ได้ออกลาดตระเวนเป็นประจำตามปกติ บริเวณชายฝั่งตะวันตกของซานติอาโก ประเทศชิลี โดยมีกัปตันผู้มากประสบการณ์ และช่างเทคนิคเดินทางไปด้วย เวลาประมาณ 13:52 น. ในขณะที่ช่างเทคนิคกำลังทดสอบกล้องอินฟาเรด (WESCAM’s MX-15) ทันใดนั้นเขาก็สังเหตุเห็นอากาศยานลึกลับด้วยตาเปล่า ห่างออกไปประมาณ 55-65 กิโลเมตร กำลังเดินทางจากตะวันตกไปยังตะวันตกเฉียงเหนือ ช่างเทคนิคจึงหันกล้องถ่ายภาพวีดีโอไว้ได้ทัน
นักบินติดต่ออากาศยานลึกลับนั้นเเต่ไม่สามารถจับสัญญาณอากาศยานลึกลับดังกล่าวได้เลย จึงได้ติดต่อสถานีเรดาห์ 2 แห่ง คือ สถานีบริเวณชายฝั่งกับสถานีควบคุมหลักซานติอาโก ผู้ควบคุมจราจรทางอากาศยืนยันว่า "ในช่วงเวลานั้นไม่มีอากาศยานทหารหรือพลเรือนใดๆ" หลังจากนั้นนักบินก็พยายามติดต่อสื่อสารกับเจ้าหน้าที่อากาศยานลึกลับนั้นหลายครั้งด้วยวิธีต่างๆ แต่ก็ไม่ได้รับการตอบกลับใดๆ
ช่างเทคนิคสามารถถ่ายวีดีโอเอาไว้ได้นานถึง 9 นาที 12 วินาที ก่อนที่มันจะบินหายไปในกลุ่มเมฆ วีดีโอถูกบันทึกถ่ายด้วยกล้องอินฟาเรด โดยจะเห็นเป็นสีโทนสีดำ, ขาว, เทา ซึ่งถ้าหากกล้องจับวัตถุที่มีความร้อนได้ มันจะปรากฏเป็นสีเข้มดังที่ปรากฏในวีดีโอ นักบินผู้เห็นเหตุการณ์อธิบายลักษณะของยานลำนี้ว่า "มันมีลักษณะแบนยาว เห็นสปอตไลท์ 2 ดวง เหมือนกับปล่อยไอพ่นออกมาไม่พร้อมกัน" ส่วนช่างเทคนิคอธิบายว่า "มันเป็นสีขาว รูปวงรีในแนวนอน"
การพบเห็นถูกปกปิดไว้นานถึง 2 ปี โดยหน่วยงาน CEFAA ที่มีหน้าที่ในการตรวจสอบวัตถุบินหรือปรากฏการณ์บนท้องฟ้าที่ไม่สามารถอธิบายได้ และในที่สุดมันก็ถูกเปิดเผยต่อสาธารณะชน นายพล ริคาร์โด เบอร์มูเดส ผู้อำนวยการ CEFAA กล่าวว่า "เราไม่รู้ว่ามันคืออะไร แต่เรารู้ว่ามันไม่ใช่ของเรา" สมมติฐานจากผู้เชี่ยวชาญมากมายพยายามหาคำอธิบายให้กับอากาศยานลึกลับ เเต่ก็ไม่สามารถอธิบายได้ สุดท้าย นายพล เบอร์มูเดส กล่าวว่า "นี่เป็นหนึ่งในเคสที่สำคัญที่สุด เเละเป็นปริศนามากที่สุดในชีวิตของผม สำหรับการนั่งเก้าอี้ผู้อำนวยการ CEFAA"
วีดีโอถูกเปิดเผย อากาศยานลึกลับได้ปล่อยอะไรบางอย่างออกมาถึง 2 ครั้ง วีดีโอข้างล่างนี้ เป็นวีดีโอสั้นๆ ในช่วงเวลาที่น่าสนใจ 3 ช่วง โดยจะเห็นอากาศยานลึกลับค่อนข้างชัดเจน
มนุษย์อวกาศบนผนังถ้ำแอลจีเรีย
มนุษย์อวกาศบนผนังถ้ำแอลจีเรีย
อุทยาแห่งชาติ Tassili n’Ajjer เมือง Tamanrasset ประเทศแอลจีเรีย เป็นสถานที่ปรากฏภาพเขียนสีบนผนังถ้ำที่เก่าแก่ที่สุดในโลก มีภาพจำนวนมากที่สุดในภูมิภาคอาหรับ ครอบคลุมพื้นที่กว่า 72,000 ตารางกิโลเมตร ภาพสลักบนผนังถ้ำมีทั้งหมดกว่า 15,000 ชิ้น สิ่งที่น่าสนใจคือ มีภาพปรากฏรูปร่างคล้ายกับมนุษย์ต่างดาว หรือนี่จะเป็นอีกหนึ่งหลักฐานที่ว่า เมื่อครั้งอดีตกาลมนุษย์ต่างดาวมาเยี่ยมเยือนโลกของเรา
ภาพวาดมีอายุราว 8,000-10,000 ปีก่อนคริสตกาล ภาพบรรยายถึงวิถีชีวิตประจำวันของมนุษย์ถํ้าที่เคยอาศัยอยู่ในบริเวณทะเลทรายซาฮาร่า เเละในอดีตกาลทะเลทรายซาฮาร่าเคยเต็มไปด้วยสิ่งมีชีวิตนานาชนิด เช่น ยีราฟ, นกกระจอกเทศ, ฮิปโปโปเตมัส เป็นต้น สิ่งที่น่าสนใจคือ มีภาพวาดมนุษย์สวมหมวกกันน็อก, ถุงมือ, ชุดอวกาศ ปรากฏอยู่ตามผนังถ้ำหลายเเห่ง
เป็นไปได้หรือไม่ มนุษย์ถํ้าได้คิดค้นหมวกกันน็อค และถุงมือขึ้นมาเมื่อ 10,000 ปีก่อน ยังเป็นข้อสังสัยของนักโบราณคดีที่ยังหาคำตอบไม่ได้ จึงไม่แปลกหากจะถูกเชื่อมโยงกับทฤษฎีนักบินอวกาศโบราณ ปัจจุบันภาพที่ปรากฏเสี่อมสภาพไปตามกาลเวลา ซึ่งน่าเสียดายมาก ภาพวาดทั้งหมดบนผนังถ้ำแห่งนี้หลงเหลือให้เห็นได้ชัดๆ เพียง 20% เท่านั้น เมื่อปี ค.ศ. 1972 องค์การยูเนสโก (UNESCO) ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก
ทฤษฎีนักบินอวกาศโบราณเสนอว่า นี่เป็นหลักฐานการปรากฏตัวของมนุษย์ต่างดาวในโลกยุคโบราณ เพราะภาพส่วนใหญ่นั้น เป็นภาพเเสดงถึงสิ่งมีชีวิตที่สวมใส่ชุดอวกาศ ขณะที่ทำท่าดูเหมือนกับว่า กำลังอยู่ในสภาวะไร้แรงโน้มถ่วง ซึ่งมีความเป็นไปได้มากที่สิ่งมีชีวิตเหล่านี้มาจากนอกโลก